วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Eric Johnson เทพบุตรแห่ง Texas



Eric Johnson เทพบุตรแห่ง Texas







Eric Johnson เป็นมือกีตาร์ที่มีรูปแบบการเล่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผสานเข้ากับเสียงร้องอันมีเสน่ห์ ยิ่งเมื่อสิ่งเหล่านี้อยู่บนดนตรีที่มีการเรียบเรียงอย่างปราณีตด้วยแล้ว ทำให้ยากนักที่จะปฏิเสธว่าบุรุษผู้นี้คือมือกีตาร์ที่เขย่าวงการดนตรีบนโลกใบใหญ่ใบนี้
ชีวิตบนเส้นทางดนตรีของเขาเริ่มราวๆ ปี ค.ศ. 1970 ในเมือง Austinรัฐ Texasประเทศสหรัฐอเมริกา เขาเป็นมือกีตาร์ในวงที่ชื่อ Mariani ซึ่งเขาได้แสดงฝีมือจนทำให้นักดนตรีหลายๆ คนต้องหยุดฟังและถามว่า “เขาเป็นใครเนี่ย? ” Johnny Winter เล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นเขาเพิ่งอายุเพียง16 ปีเอง แต่เขาเล่นได้สุดยอดมาก ผมอยากจะเล่นได้เท่าเขาบ้าง เมื่อตอนอายุเท่านั้น” พออายุ 21 ปี เขาก็ได้มาเป็นสมาชิกวง Electromagnets ซึ่งจากตรงนี้เองที่ทำให้อีริคเริ่มเปล่งประกาย เขาได้แสดงฝีมือเต็มที่เนื่องจากวงนี้เป็นวงที่เน้นด้านการเล่นและการแสดงสด
หลังจากได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์มาเยอะพอสมควร อีริคจึงเริ่มจะทำอย่างอื่นมากขึ้นซึ่งก็คือ การร้อง และการเขียนเพลง เขาเริ่มรวบรวมกลุ่มของตนเองโดยใช้ชื่อวงว่า Avenue นอกจากนั้นเขายังมีโอกาสได้ร่วมงานกับศิลปินที่มีชื่อเสียงมากมายอาทิ Carole King, Cat Stevens, และChristopher Cross แต่กระนั้นชื่อเสียงของเขาก็ยังเป็นที่รู้จักอยู่ในแวดวงจำกัดในขณะที่นักดนตรีรุ่นเดียวกับเขา         ( Stevie Ray Vaughan, Steve Morse และ Pat Metheny ) นั้นกำลังสร้างแฟนเพลงจากผลงานบันทึกเสียง
แต่แล้วหลังจากนั้นไม่นาน หลังจากซุ่มซ้อมพัฒนาฝีมืออย่างต่อเนื่อง มือกีตาร์สำเนียงอบอุ่นคล้ายไวโอลินก็ได้ลงปกหนังสือ Guitar Player เป็นครั้งแรก พาดหัวว่า “Who is Eric Johnson And Why Is He On Our Cover?” (อีริค จอห์นสันคือใคร และทำไมเขาถึงมาอยู่บนปกหนังสือของเรา)
ในปี 1986 อีริคก็ได้คลอดอัลบัมแรกของเขาออกมาใช้ชื่อว่า “Tones” สร้างชื่อได้พอสมควร และตอกย้ำความยอดเยี่ยมในปี 1990 ด้วยสุดยอดอัลบัมที่ชื่อ “Ah Via Musicom” ซึ่งเพลง“Cliffs of Dover” ได้รับรางวัลชนะเลิศสาขา Best Rock Instrumental จาก Grammy และติดอันดับอื่นๆ อีกมากมาย จากกระแสความนิยมทำให้เขาต้องเดินสายกับอัลบัมนี้เกือบ ปี และยังได้มีโอกาสออกเดินสายกับวีรบุรุษในวัยเยาว์ของเขา B.B. king นอกจากนั้นแล้วยังเป็นแขกรับเชิญไปอัดงานให้Chet Atkins และ Dweezil Zappa ในขณะนี้เองหนังสือ Guitar Player ก็ได้จัดให้เขาอยู่ในตำแหน่ง“Best Overall” หลังจากได้รับตำแหน่งนี้นานๆ เข้าทางหนังสือก็เลยจัดให้อยู่ใน “Gallery of Great”ซะเลย เท่านั้นยังไม่พอ อีริคยังได้รับรางวัลอีกมากมายอาทิเช่น “100 Greatest Guitarists of the 20th Century” จาก Musician Magazine, “Best Electric Guitarist” และ “Best Acoustic Guitarist”จาก Austin Chronicle และอื่นๆ อีกมากมาย
ในปี 1996 ระหว่างที่ อีริคได้ออกอัลบัม Venus Isle ซึ่งมีเพลงฮิตอย่าง S.R.V. และManhattan เขาได้มีโอกาสไปร่วมเดินสายกับเซียนกีตาร์แห่งยุค ท่านคือ Joe Satriani และ Steve Vai การเดินสายครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก
นอกจากผลงานที่กล่าวมาแล้วอีริคยังมีผลงานพิเศษนอกเหนือจากงานหลักอย่างเช่น A Guitar Christmas Album ร่วมกับ Steve Vai และยังมี Alien Love Child ซึ่งเล่นกัน 3 ชิ้นในแนวบลูส์ มีชื่ออัลบัมแรกว่า Live and Beyond อยู่ในสังกัด Favored Nations ของ Steve Vai ซึ่งเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมและได้รับความนิยมเช่นกัน




John Petrucci แห่ง Dream Theater



John Petrucci แห่ง Dream Theater








John Petrucci เกิดเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม ปี 1967 เขาเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่รักดนตรีLong Island และที่นั่นทำให้เขาได้รู้จักกับ John Myung (มือเบส) และ Kevin moor (มือคีย์บอร์ด) เนื่องจากได้เรียนที่โรงเรียนเดียวกัน (ซึ่งพี่สาวคนโตเล่น Piano และ Organ, พี่ชายเล่น Bass, และน้องสาวของเขาก็เล่น(Calinet) John เริ่มเล่นกีต้าร์ตั้งแต่อายุ 12 และเหตุผลหนึ่งที่ John หันมาเล่นดนตรีก็เพราะว่าเขาเห็นพี่น้องของเขาเล่นมันแล้วมีความสุขเขาก็เลยสนใจที่จะเล่นมันด้วย
ในยุคแรก ๆ แรงบันดาลใจของ John เริ่มมาจากการได้ฟัง Yngwie J.Malmsteen, Randy Rhoads, Ircon Maiden,Stevie Ray Vaughn, Yes,Rush,และอีกหลายคน และพอเริ่มโตขึ้นมาเขาก็ เริ่มหันมาฟังวงที่เล่น Thrash และ Metal ทำให้เขาเริ่มได้อิทธิพลจาก Metallica, และ Qeensvycheเพราะเพลงเหล่านี้สิ่งที่จำเป็นในการเล่นและท้าทายมากที่สุดคือ เทคนิคและสปีดและในส่วนของเมโลดีJohn กล่าวว่าเขาได้อิทธิพลจาก The Steve (เขารวมว่าทุกคนที่ชื่อขึ้นต้นว่า Steve เช่น Stvemorseและ Steve vai)the Als (Allan Holdswonth และ Al Dimeola Mike stern,Jce Satriani,Neal Schonและ Eddie Van Halen.
John เริ่มหันมาศึกษาดนตรีอย่างจริงจังในช่วงที่เขากำลังเรียน high schoolโดยเริ่มจากการเรียนทฤษฎีดนตรี ซึ่งอาจเรียกว่าเขาเริ่มศึกษาพวกสนด้วยตนเอง และพอเมื่อเรียนจบชั้น high schoolเขาจึงตัดสินใจไปเรียนต่อที่ วิทยาลัยดนตรี Berkleที่ Bostom ที่นั้นเขาได้เข้าเรียนในเรื่องของ Jazz composition และเรื่องของ harmony
John เข้าเรียนที่เรียนที่มีพร้อมกับ John Myung และ Kevin Moor ในช่วงที่พวกเขากำลังเรียน พวกเขาก็ได้เจอกับ Mike Portnoy(มือกลอง)ซึ่งเรียนอยู่ที่ Berkleel ด้วยเช่นกันเมื่อครบวงเขาจึงตั้งชื่อวงว่า Majesty (ในขณะนั้นนักร้องนำยังไม่ใช่ Jame Labrie) ต่อมาภายหลังได้เปลี่ยนมาใช้ชื่อวงว่าDeram Theater และแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไปชื่อของ Dream Theater ก็เริ่มที่จะติดหูคนฟังและเริ่มเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างมากจากและเริ่มเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างมากจาก อัลบัมประวัติศาสตร์อย่างImage and Words หลังจากอัลบัมนี้ออกมาแฟนเพลงร็อคทั้งโลกต่างให้ความสนใจกับวงนี้อย่างมาก
อัลบัมชุดต่อมา Awakeในชุดนี้ทางวงเริ่มเล่นกันอย่างหนักหน่วงกว่าชุดเดิม และในชุดนี้Johnยังเปลี่ยนหันมาเริ่มใช้กีตาร์ สายอีกด้วย อัลบัมชุดต่อมา A chamge of seasons เป็นเพลงที่มีความยาวถึง 23 นาที ด้วยเนื้อหาที่แฝงไว้ด้วยปรัชญา และ ดนตรีที่ให้ความรู้สึกไปตามฤดูกาล ทำให้ชุดนี้ เป็นอัลบัมประวัติศาสตร์อีกหนึ่งชุด อัลบัมต่อมาในปี 1997 Falling into In finity และตามมาด้วยปี1999 ด้วยอัลบัมที่มี Concept ที่ต่อเนื่องกันทั้งอัลบัม และอัลบัมล่าสุด Six Degree of Inner Turbulence นอกจากนี้ John ยังได้ทำโปรเจคพิเศษอย่าง Liquid Temsion Experiment และยังเคยเข้าร่วมทัวร์ G3 กับ Steve Vai และ Joe Satrianiอีกด้วย


Paul Gilbert



Paul Gilbert 




    



Paul Gilbert ชื่อนี้คงเป็นที่คุ้นหูกันดีของคนที่ฟังเพลงHeavy Metal ในบ้านเรา Paul Gilbert นับว่าเป็นมือกีตาร์ยอดฝีมือขวัญใจของแฟนเพลงทั่วโลกที่มีลีลาการเล่นกีตาร์ที่รวดเร็ว ดุดัด และสวยงาม Paul เป็นเหมือนคัมภีร์สำหรับมือกีตาร์รุ่นหลังสำหรับศึกษาเพื่อนการพัฒนาเทคนิคการเล่นกีตาร์ในแบบต่างๆได้เป็นอย่างดี


Paul Gilbert เกิดในวันที่ 6 พฤษจิกายน 1966 ที่ Carbondale รัฐ Illinois เริ่มเล่นกีตาร์ตั้งแต่อายุได้ 5 ขวบ โดยได้รับอิทธิพลมาจากวงดนตรีชื่อดังในอดีตเช่น The Beatle,The Osmonds, The Jackson 5, David Bowie, Led Zeppelin และแน่นอนที่สุด Jimi Hendrix ทำให้ Paul สนใจเสียงของกีตาร์มากขึ้น ในระยะเวลาต่อมา Van Halen ก็ทำให้ Paul รู้สึกว่าเขาต้องการการฝึกฝนให้มากขึ้น เขาก้มหน้าก้มตาฝึกอย่างจริงจัง จนมาถึงปี 1982 ที่Paul มีอายุได้ 15 ปี เขาได้ส่งเดโม่การเล่นกีตาร์ของเขาไปให้ Mike Varney ซึ่งตอนนั้นเขาเขียนบทความให้กับหนังสือกีตาร์ชื่อดังก็คือ Guitar Player และ Mike ก็ได้รีวิวเดโม่ของเขาในหนังสือเล่มนั้นด้วย จุดนั้นเองทำให้ชีวิตของ Paul Gilbert เปลี่ยนแปลง 




หลังจากจบ Hi school Paul ตัดสินใจที่จะย้ายไปอยู่ที่ LA ซึ้งถือได้ว่าเป็นเมืองแห่งเสียงเพลง เขาเข้ารับการศึกษาที่ MIT (Music Institute Of Technology) Paul ใช้เวลาเพียงแค่ 1 ปีในการเรียนที่นั่นซึ่งถือว่าเป็นสถาบันดนตรีชั้นนำในประเทศสหรัฐอเมริกา หลังจากการจบการศึกษาเขาก็ได้รับข้อเสนอให้เป็นครูสอนกีตาร์อยู่ที่นั่นเลย ในเวลาเดียวกันเขาก็ได้ฟอร์มวงของเขาขึ้นซึ่งถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของวง Racer X เป็นวงฮาร์ดร็อคหน้าอ่อนที่ฝีมือไม่อ่อนแบบหน้า


Paul เริ่มออกทัวร์กับวง Racer X ไปทั่วอเมริกา และก็บ่อยครั้งที่ Billy Sheehan มาดูการเล่นกีตาร์ของเขาที่คลับอยู่บ่อยๆ Paul มีผลงงานกับ Racer X ถึง 3 ชุดด้วยกัน ซึ่งแต่ละอัลบั้ม บ่งบอกถึงความเป็นเอกอุทางด้านกีตาร์ของพอลเป็นอย่างดี


วันหนึ่ง Paulได้รับโทรศัพท์จาก Billy Sheehan มือเบสมหากาฬ Billy บอกกับ Paul ว่าเขากำลังจะฟอร์มวงขึ้นใหม่ แล้วอยากรู้ว่า Paul จะสนใจที่จะร่วมงานกันเขาหรือไม่ Paul ตอบตกลงในทันทีทันใด เขาตัดสินใจที่จะมาร่วมงานกับ Billy โดยหันหลังให้กับ Racer X วง Racer X ก็จึงยุบตัวลงในเวลานั้นเอง Paul เริ่มเดินหน้ากับวงใหม่กับ Billy ในนาม “Mr.Big” เวลาผ่าน Mr.Big ประสบความสำเร็จอย่าไม่น่าเชื่อ เพลง To Be With You ที่ Paul แต่งขึ้นติดอันดับ 1 ทุกชารต์ของสถานีวิทยุทั่วโลก ผู้คนกว่าครึ่งโลกสามารถร้อง To Be With You ได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน Paul ใช้เวลาอยู่กับวง Mr. Big ถึง 8 ปี จนเขารู้สึกว่ามันถึงจุดอิ่มตัวของเขากับทางวงแล้ว เขาตัดสินใจลาออกจากวงเผื่อมาเป็นศิลปินเดี่ยว




Paul เริ่มต้นเขียนเพลงให้กับตัวเขาเองแล้วเขาก็ทำหน้าที่ร้องเองอีกด้วย เขาทำงานออกมาใหม่โดยแบบฉบับของเขาเองแท้ๆซึ่งแตกต่างจากงานเก่าๆที่เขาได้ทำ จากที่เคยเล่นเพลงร็อคหนักๆ เขาก็เปลี่ยนมาเป็นเพลงป๊อปร็อคแบบสนุกๆ แต่ก็ยังคงฝากฝีไม้ลายมือในการเล่นกีตาร์ไว้อย่างเดิม Paul ไปได้สวยกับงานเดี่ยวแบบฉบับที่ตัวเองต้องการ เขาทำผลงานเดี่ยวออกมา 3 ชุดด้วยกัน แล้วก็หยุดพักเพื่อให้มีเวลาหายใจหายคอ แต่ท่าทางเขาจะไม่ได้พักเนื่องจากเขาได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนเก่าอดีตสมาชิกในวง Racer X เขาถามกับ Paul ว่า นายว่ามันจะดีไหมถ้า Racer X จะกลับมาอีกครั้งนึง ภาพความสนุกสนานในอดีตเริ่งหวนกลับเข้ามาในหัวของเขา


Paul เขาตัดสินใจที่จะทำวง Racer X ให้เกิดขึ้นมาอีกครั้ง แล้วอีกปีให้หลัง Racer X ก็ออกผลงานชุดแรกหลังจากที่หายไปนานนับ 10 ปี และตอนนี้ Racer X ก็สานต่อตำนานของมัน ส่วน Paul เองก็เดินหน้าต่อไปกับผลงานเดี่ยวอีกหลายๆชุด พร้อมทั้งรับหน้าที่เป็นมือกีตาร์ให้กับวง Racer X ไปด้วยในเวลาเดียวกัน Paul ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ในหนังสือแมกกาซีนเล่มหนึ่งว่าเขามีความสุขมากกับการทำงานแบบเดี่ยวๆของเขา เขาไม่มีข้อจำกัดในการทำงานเลย เขาอยากใส่อะไรลงไปในเพลงก็ได้ตามที่ใจต้องการ แล้วปีนี้ 2005 เขาก็พร้อมแล้วที่จะเดินทางทั่วโลกเพื่อที่จะได้พบกันแฟนเพลงของเขา 







ประวัติ อ.แจ็ค มือกีตาร์คนไทยที่คว้าแชมป์โลกกีตาร์ไอดอล



หลายๆคนคงจะได้ยินชื่อของคนๆนี้มากันบ้างแล้วะครับ ทั้งจากซีดีการสอนกีต้าร์ การประกวดกีต้าร์รายการ ยามาฮ่า , โอเวอร์ไดรฟ์ 
และล่าสุด กีต้าร์ไอดอล เค้าคนนี้ก็คือ พี่แจ็ค หรือ อ.แจ็ค ( ธรรมรัตน์ ดวงศิริ ) นั่นเองครับ

ชื่อ ธรรมรัตน์ ดวงศิริ ( แจ็ค )

เกิดวันที่ 25 ธันวาคม 2522

เริ่มเล่นกีต้าร์ตอนอายุ 13

แนวที่เล่นRock ,Blues ,Jazz & Progressive

การศึกษา มัธยมจากโรงเรียนเบญจมราชานุสรณ์

ปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม

Professional Guitar Course จาก Prart Music School

สอนกีตาร์ที่ Prart Music School และที่ ม.ราชภัฏจันทรเกษม

มีงานแต่งเพลงกับค่าย Craftsman Record แล้วก็ Sideman Musician

ทำซีดี How To Play Rock Guitar กับ Tone Project

ชนะเลิศการประกวดวงดนตรีชิงถ้วยพระราชทาน YAMAHA BAND ALERT ปี 1999

เป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันที่ประเทศสิงคโปร์

และผมได้นำบทความที่เกี่ยวข้องกับพี่แจ็คมาให้ได้อ่านกันด้วยครับ

เวลาในขวดแก้ว – Frontman Jakk (Featuring โจ้ GR 9)
Frontman Jakk คือ ธรรมรัตน์ ดวงศิริ มือกีต้าร์ แชมป์ Overdrive เพลงนี้เขานำเพลงจากภาพยนตร์เรื่อง   เวลาในขวดแก้ว   
ที่เนื้อร้องนำมาจาก  ลำืนำ  ในหนังสือ เวลาในขวดแก้ว ในเวอร์ชั่นของวรรณกรรมที่ ประภัสสร  เสวิกุล เขียนขึ้นก่อนจะนำมาเป็นภาพยนตร์ 
เพลงนี้ออกไปในทาง   Progressive Metal ตามสไตล์วงที่เล่นในแนวนี้อย่าง   Dream Theatre   หรือ X-Japan   (ช่วงอัลบั้ม Art of Life)   
การเป็นแชมป์ Overdrive ของธรรมรัตน์ น่าจะการันตีฝีมือในเพลงนี้เป็นอย่างดี ซึ่งเขาได้โชว์การโซโล่กีต้าร์ตามอารมณ์จังหวะที่ขึ้นลง 
ราวกับมันมีชีวิตออกมาตามช่วงเวลาที่ผันแปร  ดังที่ในบทเพลงได้ร้องไว้  เพลงนี้ได้นักร้องนำวง GR 9 มาร้องในเพลงนี้

"แจ็ค" ธรรมรัตน์ ดวงศิริ โชว์ฝีมือการเล่นกีต้าร์ที่เฉียบขาด คว้าแชมป์รายการ Guitaridol ในปี 2009 บนเวที London International Music Show ได้สำเร็จ 

โดยแจ็คได้รับคะแนนจากการโหวตของผู้ชมทางบ้านและจากคณะกรรมการตัดสิน
ซึ่งล้วนเป็นคนที่มีประสบการณ์และคร่ำหวอดอยู่ในวงการดนตรี 
ไม่ว่าจะเป็น ฟิล ฮิลบอร์น , เจมี ฮัมฟรีส์ , ร็อบ แฮร์ริส เป็นต้น 

โดยของรางวัลในปีนี้เด่นๆ ก็คือ 
- PRS กีต้าร์รุ่นดังระดับ High End ราคา 158,000 บาท 
- Amplifier Marshall JVM ราคา 112,000 บาท 
และรางวัลจากผู้สนับสนุนทั้งหลาย 

และสำหรับกติการการประกวดเวที guitaridol ในครั้งนี้ ผู้เข้าประกวดจะต้องส่งคลิปการเล่นกีต้าร์ผ่านทางเว็บ guitaridol.tv 
โดยคณะกรรมการจะคัดให้เหลือเพียงแค่ 12 คนจากทั่วโลกซึ่ง 8 คนจะมาจากการคัดเลือกของคณะกรรมการและอีก 4 คนจะมาจากคะแนนโหวตของผู้ชม 

และผู้ที่ได้เป็น 12 คนสุดท้ายจะต้องไปแข่งรอบสุดท้ายที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งแข่งเสร็จไปแล้วเมื่อวันที่ 13 มิ.ย. ที่ผ่านมานี่เอง ซึ่งการประกวดมีการถ่ายทอดสดผ่านทางเว็บไซด์ไปทั่วโลก ให้ผู้ชมได้กดโหวตกันสดๆผ่านเว็บไซด์กันเลยทีเดียว ซึ่งผลที่ออกมา แจ็ค ธรรมรัตน์ สุดยอดกีต้าร์คนไทยคว้าแชมป์ได้อย่างสุดยอด



ประวัติมือกีต้าร์ Steve Vai กับกีต้าร์ Ibanez



ประวัติมือกีต้าร์ Steve Vai กับกีต้าร์ Ibanez




ประวัติ Steve Vai

เกิดเมื่อ 6 มิถุนายน 1960 ณ.Long Island, New Yorkเริ่ม เรียนกีต้าร์อย่างจริงจังเมื่ออายุ 13 กับ Joe Satriani จากนั้นไปศึกษาด้านดนตรีที่ Berklee School ใน Boston และย้ายมาอยู่ที่ LAในปี 1979 เพื่อเป็นนักดนตรีในวงดนตรีของ Frank Zappa ออกโซโลอัลบั้มแรก Flex-able [1984]และ ในปี 1985เข้าไป แทนที่ Yngwie Malsteenใน AlcaTrazz ซึ่ง มี Graham Bonnet เป็นนักร้องนำ( อดีต นักร้องนำวง RainBow) ออกอัลบั้ม Disturbing the peace [1985]

ต่อมาในปี1986 ย้ายมาอยู่กับ David Lee Roth Band ออกอัลบั้ม 2 มาชุดคือ Eat 'em and Smile [1986] และ Skyscraper [1988]หลัง จากนั้นในปี 1989 มาอยู่กับวง White Snake ออกอัลบั้ม Slip of the Tongue แม้ว่าจะมีชื่อมือกีต้าร์ Adrian Vandenberg ร่วมด้วย (และเป็นคนร่วมแต่งเพลงกับ David Coverdale ) แต่ VAI เป็นคนเล่นกีต้าร์ทั้งหมด เนื่องจาก Adrian ประสบอุบัติเหตุต่อมาในปี 1990 ออกอัลบั้มแห่งประวัติศาสตร์ของโลกกีตาร์ในยุค'90ที่มีชื่อว่า Passion and Warfare ซึ่งอัลบั้มนี้เราถือได้ว่า...เป็นการแจ้งเกิดจุติให้ใครหลายๆคนได้รู้จัก เขาในฐานะเทพเจ้ากีตาร์ตนหนึ่งและหลังจากนั้นอีก 3 ปีคือในปี 1993เขาก็ได้ออกอัลบั้มที่ชื่อว่า Sex and Religien และก็มีตามออกมาอยู่เรื่อยๆสำหรับผลงานของ Steve Vai.




Steve Vai - สุดยอดมือกีต้าร์แนวบรรเลงแบบเมททัลผู้ที่นิยมชมชอบงานเพลงประเภทบรรเลง
กีต้าร์แนวRockแบบเมโลดี้สวยงามนอกจากJoe Satrianiแล้วคงจะไม่พลาดผลงานของมือกีต้าร์ระดับเทพผู้นี้  Steve Vai โดดเด่นในฐานะของผู้ช่ำชองในการใช้เทคนิคการเล่นกีต้าร์แนวร็อค เขาเป็นสัญลักษณ์ของการบุกเบิกสไตล์การเล่นแปลกๆและเป็นตัวอย่างที่ดีที่ แสดงให้เห็นว่าการศึกษาดนตรีสามารถทำให้ประสบความสำเร็จได้อย่างไร

Steven Siro Vai หรือที่รู้จักกันว่าSteve Vaiผู้มีอาวุธประจำตัวเป็นกีต้าร์ รวมถึงกีต้าร์เจ็ดสาย


กีต้าร์สามคอ เกิดเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน คศ. 1960 ที่ New York เขาเริ่มเล่นกีต้าร์ตอนอายุ 13 ขวบ เพราะได้แรงบันดาลใจจาก Jimi Hendrix , Led Zeppelin และ Alice Cooper หลังจากนั้นไม่นานVai ได้พบกับ Joe Satriani มือกีต้าร์รุ่นพี่ที่โรงเรียน ซึ่งเป็นคนที่เขาไปเรียนกีต้าร์ด้วยในช่วงวัยรุ่นตอนต้น หลังจากจบมัธยม Steve Vaiเรียนต่อที่ Berklee College Of Music ที่ Boston ที่นี่เองที่เขาเริ่มหลงไหลผลงานของ Frank Zappa แล้วแกะเพลงที่ท้าทายที่สุดหลายๆเพลงของ Frank (รวมถึงเพลง Black Page อันโด่งดัง)และส่งไปให้เจ้าตัวดู Frank ประทับใจมากจนเชิญเขาไปร่วมวง ต่อมา Vai ทัวส์ทั่วโลกกับ Zappa ร่วมเล่นในหลายอัลบั้มของ Zappa และสร้างชื่อเสียงขึ้นมาในฐานะมือกีต้าร์ร็อคที่มีพรสวรรค์มากที่สุดคนหนึ่ง ในแวดวง ต่อมาก็ได้ร่วมงานกับศิลปินมากมายอาทิWhitesnake, Alcatrazz, David Lee Roth และการแสดงสดในนามG3รุ่นแรกร่วมกับJoe Satriani, Eric Johnsonมาแล้ว Steve Vaiได้รับการโหวตเป็นมือกีต้าร์ร็อคยอดเยี่ยมประจำปี 1986 ในนิตยสาร Guitar Player และตลอดมาจนถึงต้นยุค 90 นั้นเขาติดอันดับสูงสุดในการจัดอันดับต่างๆและขึ้นปกนิตยสารกีต้าร์ทุกฉบับ


Joe Satriani


Joe Satriani







Joe Satriani เกิดที่ Westbury,New York วันที่ 15 July 1956 โจเริ่มเล่นกีตาร์ เมื่อ อายุ 14 ปี ในปี 1971 เขาเริ่มสอนถ่ายทอดความรู้กีตาร์ ที่เขามีอยู่ให้คนอื่น โดยสอนอยู่ที่บ้าน ของเขา เขาทำอย่างนี้ อยู่ได้ ปี และ Steve Vai (สตีฟ วาย) ก็เป็นลูกศิษย์ คนแรกของเขา นับได้ว่าโจ เป็นผู้ที่ทำให้ สตีฟ วาย เป็นมือกีตาร์ระดับโลกจนทุกวันนี้ ปี 1974 โจ ได้ไปเรียน แนว Modern Jazz กับอาจารย์ คนคือ Billy Bauer ที่ Glen Cove, New York เป็นเวลา อาทิตย์ และ กับ Lennie Tristano ที่ Queens,New York เป็นเวลา เดือน ทำให้เค้าได้เก็บเกี่ยวความรู้ เพิ่มไปอีก จากนั้น ในปี 1978 เขาเริ่มเป็นอาจารย์สอน ที่ Second Hand Guitars ที่ Berkeley, Califonia ลูกศิษย์ ของ เขา มีหลายคนที่ดัง อาทิเช่น David Bryson (counting Crows),Kirk Hammett (Metallica), Larry Lalonde (Primus), และ Charlie Hunter, Alex Skolnick และยังมีอีกหลายคน ที่เขาได้สอน และจุดประกายให้ลูกศิษย์ ของเขา สามารถสร้างผลงาน สุดยอดขึ้นมาได้ ในปี 1979



  โจได้ตั้งวงดนตรี Pop ชื่อ The Squares ที่ San Francisco โดยมี Jeff Campitelli เป็นมือกลอง และ Andy Milton เป็นมือ เบส วงนี้ก็เล่นไปได้เรื่อยๆ ต่อมา โจก็ได้คิดว่า เขาต้องมี อัลบัมของตัวเอง เขาเป็นมือกีตาร์ที่ในวงการเรียกเขาว่า เป็นพ่อมดกีตาร์ เนื่องจากว่า โจสามารถสร้างเสียงกีตาร์ ได้อย่างอัศจรรย์ ในปี 1984 เขาได้ออก EP. มา ชุด มี เพลง ชื่ออัลบัม Rubina ซึ่งชื่อนี้ เป็นชื่อของภรรยาของโจเอง ปี 1985 ได้ทำอัลบัมเต็ม ออกมาชื่อ Not of This Earth 
   เมื่อทำเสร็จ Steve Vai ได้ช่วยนำอัลบัมนี้ไปเสนอให้กับ บริษัท Relativity Records. เดือน กันยายน 1986 เค้าได้ออกทัวร์ คอนเสริท์ กับ นักดนตรี ป๊อบร็อค ชื่อ Greg Kihn ในระหว่างเซ็นสัญญากับ Relativity จนเมื่อ เดือน พฤศจิกายน 1986 ได้ออกอัลบัม Not Of This Earth ในสังกัดRelativity Recoard 15 เดือนหลังจากอัดเสร็จ เดือน ธันวาคม 1986 เซ็นสัญญากับ Relativity Record และเตรียมทำชุด Demo ของเพลง ที่จะออกในอัลบัม "Surfing With The Alien" จนเมื่อ ตุลาคม 1987 ก็ออกอัลบัม Surfing With The Alien" ชุดนี้เป็นอะไรที่สุดยอดมาก เขาได้สร้างสำเนียงกีตาร์ ที่เป็นเอกลักษณ์ ของเขา ชุดนี้ ได้ยอดขายมากกว่า ล้านแผ่น เฉพาะ ใน อเมริกา และได้รางวัลแผ่นเสียงทองคำ เดือน กุมภาพันธ์ 1988 ออกทัวร์ กับ Mick Jagger โจเป็น มือ Soloระหว่างออกทัวร์ชุด Surfing ก็ได้มีการทำเทปบันทึกการแสดงสดด้วย ชุด Dreaming#11 เดือน พฤศจิกายน 1988 อัลบัมแสดงสดนี้ ได้รับรางวัล Grammy และ รางวัลแผ่นเสียงทองคำ เดือน ตุลาคม 1989 ออกอัลบัม Flying in a blue dream ได้รางวัลแกรมมี่ อีกครั้ง ชุดนี้ ขายได้ มากกว่า750,000 แผ่น
         เดือน กรกฏาคม 1992 ออกอัลบัม Extreamist เป็นชุดที่ได้รับการยกย่องว่า บันทึกเสียงได้ยอดเยี่ยมมาก ได้รางวัลแผ่นเสียงทองคำ และ แกรมมี่ ติดอับดับ 24 ของ Billboard ในเพลงSummer song เดือน ตุลาคม 1993 ออกอัลบัม Time Machine เป็นอัลบัมพิเศษ ที่ แผ่น แผ่นแรกเป็นเพลง ชุดเก่า และเพลงใหม่ เพลง และแผ่นที่ เป็นบันทึกการแสดงสด เดือนตุลาคม1994 Time Machine ได้รางวัลแผ่นเสียงทองคำ และโจได้เริ่มทำอัลบัมชุดที่ ชุดนี้ ในนามของตัวเอง และออกในปี 1995 ในชื่อชุด You're My World ได้รับรางวัล แกรมมี่ ปี 1996 ได้ร่วมกับ Steve Vai และ Eric Johnson ทำทัวร์คอนเสริท์ G3 ออกทัวร์ทั่ว อเมริกาเหนือ 24 วัน และได้ออกทัวร์ ในประเทศ ต่างๆ จนจบปี 1997 ปี 1998 ออกอัลบัมชุดที่ ชื่อ Crystal Planet ผลิตโดย Mike Fraserในปี 1998 นี้ เพลง Summer Song จาก คอนเสริท์ G3 ได้รับรางวัล แกรมมี่ และเริ่มทัวร์ คอนเสริท์ ชุด Crystal Planet ใน อเมริกา ทุกวันนี้มือกีตาร์รุ่นใหม่หลายคนได้ยึดโจ เป็นแบบอย่างในการเล่นกีตาร์ เนื่องจากเทคนิดแปลกๆ ในการสร้างเสียงและ สำเนียงที่ เล่นได้กลมกลืนกับเทคนิคในการสร้างเสียงจึง ทำให้ได้แบบฝึกต่างๆ อีกมากมาย

ที่มาจาก www.guitarthai.com
http://www.oknation.net/blog/bodin2/2007/12/09/entry-3